วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กางเกงยีนส์ Lee


 Lee




ความเป็นมาของยีนส์                             
                 
       
มร.เฮนรี่ เดวิด ลี 


    1889 : มร.เฮนรี่ เดวิด ลี ก่อตั้ง บริษัท H.D. Lee Mercantile Company ในมลรัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และเริ่มธุรกิจผลิตและขายสินค้าคุณภาพ เขาเล็งเห็นความสำคัญของการผลิตเสื้อทำงานที่มีคุณภาพ เขาเบื่อหน่ายต่อการส่งของที่ไม่ตรงเวลาของผู้ผลิตทางตะวันออก ลี จึงเริ่มธุรกิจนี้ โดยการทำให้ดีขึ้นและในที่สุดได้กลายเป็นบริษัทผลิตเสื้อผ้าที่ประสบความ สำเร็จที่สุดแห่งหนึ่งในศตวรรษที่ 20


ชุดแรก
    1911 : ลี เริ่มผลิต กางเกงยีนส์ที่มีคุณภาพในปี 1911ตัวแรกเรียกกันว่า ชุดหมีผ้ากันเปื้อน (Bib Overall) โดยดั้งเดิมผลิตด้วยผ้ายีนส์ 8 ออนซ์ และมีกระเป๋าหน้าอกสารพัดประโยชน์ รวมทั้งกระดุมลายนอกจากนั้น ลี ยังผลิต แจ็คแก็ต และ กางเกงยีนส์ ด้วยเช่นกัน
    1913 : การประดิษฐ์ กางเกงชุดหมี แบบชิ้นเดียวเป็นสัญลักษณ์ของ ยูเนี่ยน ออล โดยได้แรงบัน ดาล ใจจาก คนขับรถขณะซ่อมรถ บริษัท เอช.ดี. ลี (H.D. Lee) ได้พัฒนาชุดหมี ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้สวมใส่เปื้อนทั้งด้านบนและด้านล่างของเอว
    1922 : บริษัท เอช.ดี. ลี สร้างสรรค์ แคมเปญโฆษณา บัดดี้ ลี โดยให้บัดดี้ ลี คนแรกแต่งชุดหมี และได้มีการวางโชว์ตามหน้ากระจกร้านของห้างสรรพสินค้า เดย์ตัน บนถนน นิโคเลต อเวอนู เมือง มินิอาโปลิส รัฐ มิเนโซต้า หลังจากนั้นมา บัดดี้ ลี ได้กลายเป็นของมีค่าของนักสะสม
    1924 : การนำกางเกงคาวบอย ลี เข้าสู่ตลาด ยีนส์ 101 พร้อม เป้า รูปตัวยู และ แผ่นผ้าทับบนกระดุม ซึ่งได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของ คาวบอย และ โรดิโอไรเดอร์แนวคิดที่เน้นไปที่คาวบอย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า วิเศษมากเพราะเป็นตลาดที่กลายเป็นตัวโปรโมทเสื้อผ้ายีนส์ไปทั่วโลก
    1926 : เทคโนโลยี ซิป ได้มีส่วนเสริมกับกางเกงคาวบอย กางเกงยีนส์ที่มีซิปรุ่นแรกคือ 101Z ได้ผลิตออกสู่ตลาดโดยมีการตัดเย็บขนาดให้เหมาะสมกับการลุกนั่ง รวมทั้งขนาดของตะเข็บด้วย รวมถึงมีการทำเป้าเป็นรูปตัวยู เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่
    1936 : Lee ได้สร้างสรรค์ การประทับตรายี่ห้อแบรนด์บนแผ่นหนังด้านหลังกางเกง โลโก้ ได้ถูกประทับบนแผ่นหนังแท้ ซึ่งเป็นลุคที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคาวบอยอย่างแท้จริง
    1944 : ได้มีการแนะนำ Lazy S (ในการเดินเส้นด้ายบนกระเป๋าหลัง) ออกสู่ตลาด การเดินเส้นบนกระเป๋าทั้ง 2 ข้าง เวลามองพร้อมๆกัน จะดูเหมือนรูปร่างของการ์ตูน “Long Horn” นอกจากนั้นปีนี้เป็นปีที่ เสื้อผ้าแนวคาวบอยของ ลี ได้ถูกรวมกันภายใต้ เลเบิล Lee Riders อีกด้วย
    1949 : มีการแนะนำ Lady Lee Riders ออกสู่ตลาด และขึ้นชื่อว่าเป็นกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับสุภาพสตรีที่สุด


    1954 : เจมส์ ดีน แสดงนำใน ‘Giant’ และมารอน แบรนโด แสดงนำใน ‘The Wild One’ โดยทั้ง 2 คนสวมใส่กางเกงยีนส์ Lee ช่วงนี้เป็นการถือกำเนิดของประเพณีนิยมในหมู่นักปั่นจักรยาน และเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการสวมใส่กางเกงยีนส์เพื่อทำงาน สู่วัฒนธรรมป็อป นอกเหนือจากการเป็นเจ้าตลาดเสื้อผ้าทำงานและเป็นเจ้าตลาดฝั่งตะวันตก ลี ได้ข้ามไปยังส่วนที่เป็นตลาดลำลองด้วย “Leesures” เสื้อผ้าสวมใส่สบายที่เหมาะกับทั้งเพื่อการทำงานและพักผ่อน
    1964 : กางเกงยืด และกางเกงแบบผ้าไม่ยับ ได้ถูกนำออกสู่ตลาดโดยเป็นกางเกงรุ่นแรกที่ไม่ต้องรีด
    1969 : Lee ได้รวมกับบริษัท VF Company ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ส่งผลให้ Lee สามารถยกระดับการผลิตขึ้นและสามารถขยายการผลิตไปยังตลาดต่างประเทศ
    1975 : Lee ย้ายฐานไปอยู่ที่ ฮ่องกง และส่งออกไปยัง 82ประเทศทั่วโลก
    1982 : Lee เปลี่ยนจากธุรกิจเสื้อผ้าทำงาน เข้าสู่แวดวงแฟชั่นอย่างสมบูรณ์ เช่น การนำหินมาตกแต่งบนเนื้อผ้าเอาใจวัฒนธรรมวัยรุ่น
    1995 : Lee ย้ายฐานสู่ประเทศจีน และเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค อาทิ ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ ไต้หวัน ประเทศไทย ฯลฯ โดยได้กลายเป็น ยีนส์แบรนด์เนมชั้นนำแบรนด์หนึ่งในภูมิภาค 2007 : Lee แนะนำแคมเปญ Lee Make History เพื่อเป็นเวทีให้คนเราได้แสดงออกถึงความหลงใหลของตนเองด้วยการนำภาพถ่ายและ คำบรรยายมาแบ่งปันในรูปแบบออนไลน์ โดยแคมเปญนี้ได้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง Lee กับ ผู้บริโภค ด้วยการร่วมแบ่งปันคุณค่าของ “True Passion” และเฉลิมฉลองร่วมกัน โดยแคมเปญนี้ได้ขยายไปยังเอเชีย แปซิฟิคในปี 2008








สาเหตุที่ Lee ได้รับความนิยม                   

        Lee ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1889 ปัจจุบันประสบความสำเร็จไม่แพ้ใครเลย แถมยี่ห้อนี้ยังประสบความสำเร็จกับการคิดแคมเปญใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ ตั้งแต่ลุคคาวบอยหนุ่ม จนถึงไลฟ์สไตล์ต่างๆในปัจจุบัน ด้วยเพทเทิร์นการตัดเย็บด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนายีนส์ให้ล้ำยิ่งกว่า จึงทำให้เราเห็น Leeในกลุ่มผู้หญิงทุกวัย












กางเกงยีนส์ Levi's

Levi’s

         
           Levi’s  แบรนด์ออริจินอลรายแรกของโลกที่ใครๆก็ต้องรู้จักดี  เพราะ ลีวายส์คือสุดยอดกางเกงยีนส์ที่อึดถึกทนจนน่าตกใจ จะหยิบมาตะบี้ตะบันหรือหลงลืมไปสัก 3 ปีก็สามารถหยิบใส่แล้วดูดีเสมอไม่เปลี่ยนแปลง นี่จึงทำให้สาวกยีนส์เลิฟกับคุณภาพของยีนส์ลีวายส์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น


ประวัติกางเกงยีนส์ levi's




               

         


 เมื่อปี 1850  นายลีวาย สเตราส์ ชาวเยอรมัน อายุ 24 ปี ที่คิดจะมาขายของให้กับคนงานเหมืองทองที่ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในปีเดียวกันเค้าก็เกิดความคิดที่จะขายสินค้าด้ายกู๊ด หรือ เสื้อผ้า และในปี 1853 เค้าก็ตั้งโรงงาน Levi’s ขึ้นมา เพื่อผลิตและขายกางเกงยีนส์ให้กับคนงานเหมืองได้ใส่และได้และได้จดสุทธิบัตรและกำหนดลักษณ์เฉพาะคือการตรอกหมุดย้ำที่มีในLevi’s ในปี ค.ศ.1873 แต่กางเกงยุคแรก ๆ นั้นจะไม่มีหูเข็มขัดเพราะเป็นกางเกงที่ใส่คุมชุดเพื่อกันผุ่นและดินหรือของมีคมแต่หลัง ๆ มาถึงพัฒนารูปทรงที่เป็นเหมือนทุกวันนี้ให้เหมาะกะคนทุกเพศทุกวัยได้ใส่กัน


สาเหตุที่ levi's ได้รับความนิยม  

          Levi’s นั้นเป็นกางเกงยีนส์ยี่ห้อแรกของโลกที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน มากกว่า 100 ปีและเป็นยีนส์ที่มีการจดสุทธิบัตรและกำหนดลักษณะเด่นเฉพาะของตนเองเป็นยี่ห้อแรกของโลกและมีลักษณะที่สวยงามจึงเป็นยีนส์ที่นิยมในกลุ่มผู้รักในยีนส์และนักสะสมทั่วโลกต่างเสาะแสวงหามาครอบครองมากที่สุดเพราะมีคุณสมบัติพิเศษในแต่ละรุ่นของ Levi’s ที่ต่างกันไปจึงทำให้ได้รับความนิยม









วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วัดพระธาตุดอยสุเทพ

วัดดอยสุเทพ หรือ วัดพระธาตุดอยสุเทพ มีชื่อเต็มว่า วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนดอยสุเทพ ตำนานกล่าวว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และพระมัตถะลุงคะธาตุ
ส่วนชื่อดอยสุเทพนั้น มาจากฤาษีตนหนึ่งชื่อ “วาสุเทพ” หรือ “สุเทวะฤษี” มาบำเพ็ญตบะอยู่บนดอยนี้ คนจึงเรียกชื่อดอยตามชื่อฤาษี เจดีย์พระธาตุได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1919 เป็นพระเจดีย์แบบเชียงแสนผสมลังกา
ทางเข้าพระธาตุดอยสุเทพ
บันไดขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
 
รูปซ้าย : รูปปั้นครูบาศรีวิชัยขนาดใหญ่  รูปขวา : ฆ้องยักษ์
เราใช้เวลาบนพระธาตุดอยสุเทพไม่นาน ก็มารอขึ้นรถแดงกลับ อย่าลืมจำหมายเลขรถ ทะเบียนรถ เบอร์โทรรถแดงไว้ด้วยนะครับ รถแดงมีเยอะมาก เดี๋ยวจะสับสน
ทริปเที่ยวสามดอย ดอยสุเทพ ดอยปุย พระตำหนักภูพิงค์ ก็จบลงเพียงเท่านี้่ครับ ในคืนนี้มีงานลอยกระทงที่ประตูท่าแพ ไว้ตอนต่อไปผมจะพาไปชมโคมไฟสวยๆ และขบวนแห่ลอยกระทงที่ประตูท่าแพ สวยงามมากครับ ส่วนวันรุ่งขึ้นเราไปเที่ยวต่อที่สันกำแพง ไปดูการทำร่มที่บ่อสร้างและชมน้ำพุร้อนสันกันแพง ติมตามชมด้วยนะครับ :)
- See more at: http://www.folktravel.com/archive/doi-suthep-10.html#sthash.c5bO5FxN.dpuf
                      http://www.folktravel.com/archive/doi-suthep-10.html

เชียงดาว ดอยสูงเสียดฟ้า ที่ไม่ปรารถนาผู้พิชิต


เชียงดาว ดอยสูงเสียดฟ้า ที่ไม่ปรารถนาผู้พิชิต





 คู่มือนักเดินทาง
          ดอยหลวงเชียงดาว อยู่ในพื้นที่ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง ตำบลเมืองงาย ตำบลเมืองคอง ตำบลเชียงดาว และตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูง 2,225 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ถือเป็นยอดเขาหินปูนที่สูงที่สุดในประเทศ และเป็นแหล่งที่อยู่ของพืชพันธุ์และสัตว์ป่าหายาก เพราะฉะนั้น การเดินทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวจึงต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อจะได้สัมผัสความงามในขุนเขาแห่งตำนานอย่างลึกซึ้ง
          ดอยหลวงเชียงดาว เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หากมีเวลาควรเดินทางไปถึงก่อนขึ้นดอย 1 วัน เพื่อเที่ยวชม และศึกษาแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น ถ้ำเชียงดาว วัดถ้ำผาปล่อง
 การเดินทาง
          รถยนต์ : จากตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถไปอำเภอเชียงดาวได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง เข้าสู่อำเภอเชียงดาว ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร เมื่อถึงตัวอำเภอเชียงดาว ขับไปจนเจอโรงแรมเชียงใหม่อินน์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางถ้ำเชียงดาว ตรงไปประมาณ 3 กิโลเมตร เจอทางแยกซ้ายมือไปหมู่บ้านยางปู่โต๊ะ เข้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือ
          รถโดยสารประจำทาง : จากตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถโดยสามารถเชียงใหม่-ฝาง (รถสีส้ม) และเชียงใหม่-พร้าว (รถสีแดง) โดยขึ้นที่สถานีขนส่งช้างเผือก มีรถออกทุกครึ่งชั่วโมง ค่าโดยสาร 40 บาท เมื่อถึงตัวเมืองเชียงดาวแล้วสามารถเหมารถไปส่งที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว และเหมาต่อไปถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยเชียงดาวได้ราคาไป-กลับ ประมาณ 1,800 บาท
          ปัจจุบันอนุญาตให้ขึ้น-ลงได้ 2 ทาง คือ ทางหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) และทางบ้านนาเลาใหม่ (ปางวัว) ซึ่งทางเดินหญ้าขัด ระยะทางนั่งรถไปถึงหน่วยฯ และระยะทางเดินเท้าไกลกว่า แต่เดินได้ง่ายกว่า ส่วนทางปางวัว นั่งรถใกล้ ระยะทางเดินใกล้กว่า แต่ทางค่อนข้างลาดชัน
 รู้เอาไว้ก่อนไปดอยเชียงดาว
          ให้ทำเรื่องขออนุญาต ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว หรือสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ล่วงหน้า 15 วัน จากนั้นก่อนขึ้นดอยให้นำหนังสือขออนุญาตไปยื่นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว และจ่ายค่าธรรมเนียมการขึ้นคนคนละ 20 บาท ค่ากางเต็นท์หลังละ 50 บาท ต่อคืนค่ารถคันละ 60 บาท ค่าลูกหาบวันละ 350 – 400 บาท ต่อคนค่าคนนำทางวันละ 500 บาท ต่อคน ค่ามัดจำขยะ 200 บาท จะได้รับคืนหากนำขยะมาคืนครบจำนวนที่แจ้ง
          ให้เดินตามเส้นทางที่กำหนด และพักแรมได้เฉพาะจุดที่อนุญาต 4 จุดเท่านั้น คือ บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) ดงน้อย อ่างสลุง และดงไม้หก เนื่องจากดอยเชียงดาวอยู่ในระดับสูง ระยะทางเดินค่อนข้างไกล และอากาศแปรปรวนบ่อย จึงควรเตรียมร่างกายให้แข็งแรง
          ห้ามนำเครื่องมือล่าสัตว์ วัตถุระเบิด ยาพิษ สัตว์เลี้ยง โฟม และขวดแก้ว (ยกเว้นสิ่งของนั้นบรรจุในภาชนะขวดแก้ว) ขึ้นไป และหากนำสิ่งใดขึ้นไปจะด้วยจำเป็นหรือไม่ก็ตาม ให้นำกลับลงมาให้หมด แม้กระทั่งกระดาษชำระที่หลายคนมองว่าย่อยสลายเองได้ แต่กว่าจะถึงเวลานั้นมันก็อุจาดตาไม่ใช่น้อย และให้แยกประเภทขยะเพื่อง่ายต่อการกำจัดปลายทาง และตรวจสอบจำนวน
          เตรียมอุปกรณ์กันหนาว (อุณหภูมิเฉลี่ย 19.92 องศาเซลเซียส แต่บางช่วงอาจลดลงถึงติดลบ) และเตรียมอุปกรณ์กันฝน (แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าฝน แต่ละอองหมอกค่อนข้างแรง) ไฟฉาย ยารักษาโรค
          ติดต่อสอบถามได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว โทรศัพท์ 0 5345 5802, สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2561 4836 หรือถ้าหากต้องการเดินศึกษาธรรมชิตดอยเชียงดาวกับกลุ่มรักษ์ล้านนา ทางกลุ่มจะจัดขึ้นดอยเชียงดาวทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ดูรายละเอียดที่ เฟซบุ๊ก ชื่อรักษ์ล้านนา : Raklanna อีเมล์ raklanna.cm@gmail.com

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(Electronic Data Interchange: EDI)

1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) คืออะไร

          การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่ง โดยผ่านเครือข่าย เช่น โทรศัพท์ สายเคเบิล ดาวเทียม เป็นต้น แทนการส่งเอกสางโดยผ่านพนักงานส่งสารหรือไปรษณีย์ ระบบEDI จะต้องใช้รูปแบบของเอกสารที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้หน่วยงานทางธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) มีขั้นตอนการอย่างไร

          ขั้นตอนการทำงานของระบบ EDI มีดังนี้
1) ผู้ส่งทำการเตรียมข้อมูล และแปลงให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐาน UN/ EDIFACT โดยใช้ Translation Software
2) ส่งผู้ทำการส่งข้อมูลยังศูนย์บริการของผู้ให้บริการ EDI ผ่านเครือข่ายสาธารณะโดยใช้Modem
3) ผู้ให้บริการEDI จะจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ในตู้ไปรษณีย์(Mailbox)ของผู้รับเมื่อข้อมูลไปถึงศูนย์บริการ
4) ผู้รับติดต่อมายังศูนย์บริการผ่า Modem เพื่อรับข้อมูล EDI ที่อยู่ในตู้ไปรษณีย์ของตน
5) ผู้รับแปลงข้อมูลกลับโดยใช้ Translation Software ให้อยู่ในรูปแบบที่ระบบงานของตนสามารถรับประมวลผลได้

3. ยกตัวอย่างธุรกิจที่สามารถนำการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) มาใช้กับธุรกิจ 1 ตัวอย่าง พร้อมกับอธิบายว่าสามารถนำมาใช้อย่างไรบ้าง

          ตัวอย่างเช่น กรมศุลกากรได้นำเอาระบบ EDI (Electronic Data Interchange) มาใช้สำหรับการส่งออก และการนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งทำให้กระบวนการออกสินค้ามีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และตัวแทนออกของสามารถจัดเตรียมใบขนสินค้าภายในสำนักงานของตน แล้วส่งใบขนสินค้ามายังกรมศุลกากรโดยผ่านระบบ EDI กรมศุลกากรสามารถตรวจสอบความถูกต้องของใบขนสินค้าทางระบบ EDI ได้ทันที ถ้าข้อมูลถูกต้องแล้ว ตัวแทนออกของสามารถจัดพิมพ์ใบขนสินค้าและนำมายื่น ณ ที่ทำการกรมศุลกากรเพื่อชำระอากรและตรวจปล่อยสินค้าต่อไป

4. ประโยชน์ของการนำการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI)มาใช้กับธุรกิจคืออะไร

          
          ประโยชน์ของการนำการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์

5. จงอธิบายความสัมพันธ์ของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดังรูปต่อไปนี้

        การส่งข้อมูลหรือข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อื่นโดยผ่านทางระบบสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายโดยตรง เพื่องลดระยะเวลาในการทำงานของแต่ละองค์การลง โดยองค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดำเนินธุรกิจ เช่น ใบสั่งซื้อและใบตอบรับผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่ ทำให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง