Lee
ความเป็นมาของยีนส์
 |
มร.เฮนรี่ เดวิด ลี |
1889 : มร.เฮนรี่
เดวิด ลี
ก่อตั้ง บริษัท
H.D.
Lee Mercantile Company ในมลรัฐแคนซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา และเริ่มธุรกิจผลิตและขายสินค้าคุณภาพ เขาเล็งเห็นความสำคัญของการผลิตเสื้อทำงานที่มีคุณภาพ
เขาเบื่อหน่ายต่อการส่งของที่ไม่ตรงเวลาของผู้ผลิตทางตะวันออก
ลี จึงเริ่มธุรกิจนี้
โดยการทำให้ดีขึ้นและในที่สุดได้กลายเป็นบริษัทผลิตเสื้อผ้าที่ประสบความ
สำเร็จที่สุดแห่งหนึ่งในศตวรรษที่ 20
 |
ชุดแรก |
1911
:
ลี เริ่มผลิต
กางเกงยีนส์ที่มีคุณภาพในปี 1911ตัวแรกเรียกกันว่า ชุดหมีผ้ากันเปื้อน (Bib
Overall)
โดยดั้งเดิมผลิตด้วยผ้ายีนส์ 8 ออนซ์ และมีกระเป๋าหน้าอกสารพัดประโยชน์
รวมทั้งกระดุมลายนอกจากนั้น ลี ยังผลิต
แจ็คแก็ต และ
กางเกงยีนส์ ด้วยเช่นกัน
1913 : การประดิษฐ์
กางเกงชุดหมี แบบชิ้นเดียว–เป็นสัญลักษณ์ของ ยูเนี่ยน ออล
โดยได้แรงบัน ดาล
ใจจาก คนขับรถขณะซ่อมรถ
บริษัท เอช.ดี. ลี
(H.D.
Lee)
ได้พัฒนาชุดหมี ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้สวมใส่เปื้อนทั้งด้านบนและด้านล่างของเอว
1922
:
บริษัท เอช.ดี. ลี
สร้างสรรค์ แคมเปญโฆษณา
‘บัดดี้ ลี’ โดยให้บัดดี้ ลี
คนแรกแต่งชุดหมี และได้มีการวางโชว์ตามหน้ากระจกร้านของห้างสรรพสินค้า
เดย์ตัน บนถนน
นิโคเลต อเวอนู
เมือง มินิอาโปลิส
รัฐ มิเนโซต้า
หลังจากนั้นมา บัดดี้
ลี ได้กลายเป็นของมีค่าของนักสะสม
1924
:
การนำกางเกงคาวบอย ลี เข้าสู่ตลาด
ยีนส์ 101 พร้อม เป้า
รูปตัวยู และ
แผ่นผ้าทับบนกระดุม ซึ่งได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของ
คาวบอย และ
โรดิโอไรเดอร์แนวคิดที่เน้นไปที่คาวบอย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า วิเศษมากเพราะเป็นตลาดที่กลายเป็นตัวโปรโมทเสื้อผ้ายีนส์ไปทั่วโลก
1926
:
เทคโนโลยี ซิป
ได้มีส่วนเสริมกับกางเกงคาวบอย กางเกงยีนส์ที่มีซิปรุ่นแรกคือ 101Z ได้ผลิตออกสู่ตลาดโดยมีการตัดเย็บขนาดให้เหมาะสมกับการลุกนั่ง
รวมทั้งขนาดของตะเข็บด้วย รวมถึงมีการทำเป้าเป็นรูปตัวยู เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่
1936
: Lee
ได้สร้างสรรค์ การประทับตรายี่ห้อแบรนด์บนแผ่นหนังด้านหลังกางเกง
โลโก้ ได้ถูกประทับบนแผ่นหนังแท้
ซึ่งเป็นลุคที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคาวบอยอย่างแท้จริง
1944
:
ได้มีการแนะนำ Lazy S (ในการเดินเส้นด้ายบนกระเป๋าหลัง)
ออกสู่ตลาด การเดินเส้นบนกระเป๋าทั้ง
2 ข้าง เวลามองพร้อมๆกัน
จะดูเหมือนรูปร่างของการ์ตูน “Long
Horn”
นอกจากนั้นปีนี้เป็นปีที่ เสื้อผ้าแนวคาวบอยของ ลี ได้ถูกรวมกันภายใต้
เลเบิล Lee Riders อีกด้วย
1949 : มีการแนะนำ
Lady
Lee Riders ออกสู่ตลาด
และขึ้นชื่อว่าเป็นกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับสุภาพสตรีที่สุด
1954 : เจมส์
ดีน แสดงนำใน
‘Giant’ และมารอน แบรนโด
แสดงนำใน ‘The Wild One’ โดยทั้ง 2 คนสวมใส่กางเกงยีนส์ Lee ช่วงนี้เป็นการถือกำเนิดของประเพณีนิยมในหมู่นักปั่นจักรยาน
และเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการสวมใส่กางเกงยีนส์เพื่อทำงาน
สู่วัฒนธรรมป็อป นอกเหนือจากการเป็นเจ้าตลาดเสื้อผ้าทำงานและเป็นเจ้าตลาดฝั่งตะวันตก
ลี ได้ข้ามไปยังส่วนที่เป็นตลาดลำลองด้วย
“Leesures” เสื้อผ้าสวมใส่สบายที่เหมาะกับทั้งเพื่อการทำงานและพักผ่อน
1964 : กางเกงยืด
และกางเกงแบบผ้าไม่ยับ
ได้ถูกนำออกสู่ตลาดโดยเป็นกางเกงรุ่นแรกที่ไม่ต้องรีด
1969
: Lee
ได้รวมกับบริษัท VF Company ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
ส่งผลให้ Lee สามารถยกระดับการผลิตขึ้นและสามารถขยายการผลิตไปยังตลาดต่างประเทศ
1975
: Lee ย้ายฐานไปอยู่ที่ ฮ่องกง และส่งออกไปยัง
82ประเทศทั่วโลก
1982
: Lee
เปลี่ยนจากธุรกิจเสื้อผ้าทำงาน เข้าสู่แวดวงแฟชั่นอย่างสมบูรณ์ เช่น การนำหินมาตกแต่งบนเนื้อผ้าเอาใจวัฒนธรรมวัยรุ่น
1995 : Lee ย้ายฐานสู่ประเทศจีน และเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค อาทิ ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ ไต้หวัน ประเทศไทย ฯลฯ โดยได้กลายเป็น ยีนส์แบรนด์เนมชั้นนำแบรนด์หนึ่งในภูมิภาค 2007 :
Lee แนะนำแคมเปญ Lee Make History เพื่อเป็นเวทีให้คนเราได้แสดงออกถึงความหลงใหลของตนเองด้วยการนำภาพถ่ายและ คำบรรยายมาแบ่งปันในรูปแบบออนไลน์ โดยแคมเปญนี้ได้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง Lee กับ ผู้บริโภค ด้วยการร่วมแบ่งปันคุณค่าของ “True
Passion” และเฉลิมฉลองร่วมกัน โดยแคมเปญนี้ได้ขยายไปยังเอเชีย แปซิฟิคในปี 2008
สาเหตุที่ Lee ได้รับความนิยม
Lee ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1889 ปัจจุบันประสบความสำเร็จไม่แพ้ใครเลย แถมยี่ห้อนี้ยังประสบความสำเร็จกับการคิดแคมเปญใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ ตั้งแต่ลุคคาวบอยหนุ่ม จนถึงไลฟ์สไตล์ต่างๆในปัจจุบัน ด้วยเพทเทิร์นการตัดเย็บด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนายีนส์ให้ล้ำยิ่งกว่า จึงทำให้เราเห็น Leeในกลุ่มผู้หญิงทุกวัย